มาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 17 (
MH17/
MAS17)
[lower-alpha 1] เป็นเที่ยวบินพาณิชย์ของ
มาเลเซียแอร์ไลน์ซึ่งออกเดินทางจากกรุง
อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ไปยัง
กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เที่ยวบินซึ่งบินด้วยเครื่องบิน
โบอิง 777 ตก
[2][3] ใกล้กับฮราโบฟ จังหวัด
โดเนตสค์ ประเทศยูเครน ห่างจากชายแดนยูเครน/รัสเซียประมาณ 40 กิโลเมตร
[4] ผู้โดยสาร 283 คนและลูกเรือ 15 คนบนเครื่องเสียชีวิตทั้งหมด
[5]การตกเกิดขึ้นในบริเวณที่เกิดการปะทะกันท่ามกลางการก่อการกำเริบดอนบาสส์ โดยขณะที่เครื่องกำลังร่วงสู่พื้นดิน เกิดเพลิงไหม้ที่ปีกด้านขวา ทั้งนี้จากข้อมูลของ
สำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ ยืนยันอ้างว่าเครื่องบินถูกยิงตกโดยขีปนาวุธ แต่ไม่สามารถระบุที่มาของขีปนาวุธได้
[9][10]รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของยูเครน กล่าวว่าเครื่องบินถูกยิงตกที่ระยะความสูง 10,000 เมตร (33,000 ฟุต) จากเครื่องยิงจรวดพื้นดินสู่อากาศ บัค
[11][12] เปโตร โปโรเชนโก ประธานาธิบดียูเครน กล่าวว่าเหตุการณ์นี้เป็น "การก่อการร้าย"
[13] กบฏแบ่งแยกดินแดนนิยมรัสเซียสนองโดยกล่าวหารัฐบาลยูเครนว่าเป็นผู้ยิงเครื่องบินตก หน่วยข่าวกรองของยูเครนอ้างว่าได้ดักฟังโทรศัพท์พบว่ากลุ่มนิยมรัสเซียมีการกล่าวถึงการที่เพิ่งจะยิงเครื่องบินพลเรือนตก
[14]21 กรกฎาคม ฝ่ายความมั่นคงของรัสเซียอ้างว่าก่อน MH17 จะถูกยิง เรดาห์ของรัสเซียได้ตรวจพบเครื่องบินรบ
ซูคอย ซู-25 ของยูเครน บินห่างจาก MH17 ที่ระดับความสูงใกล้เคียงกัน โดยมีระยะห่างจาก MH17 ราว 3-5 กิโลเมตร
[15] และต่อมาอ้างว่าประเทศยูเครนรับผิดชอบเนื่องจากจุดตกเกิดในน่านฟ้ายูเครน
[16] มีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับการตกปรากฏในสื่อรัสเซีย และจนถึงเดือนกันยายน 2559 รัฐบาลรัสเซียยังปฏิเสธความรับผิดชอบ
[17]อากาศยานทหารยูเครนจำนวนหนึ่งถูกยิงตกเหนือดินแดนที่กบฏควบคุมทั้งก่อนหลังหลังเหตุ MH17 ดังกล่าว ทันทีหลังเครื่องตก ปรากฏโพสต์ในโปรเฟล์สื่อสังคมวีคอนตักเต (VKontakte) ของพันเอกอีกอร์ เกอร์คินแห่งรัสเซีย ผู้นำทหารอาสาสมัครแบ่งแยกดินแดนดอนบัสส์ อ้างความรับผิดชอบการยิงเครื่องบินลำเลียงทหารของยูเครนชนิดเอเอ็น-26 ของยูเครนใกล้กับโทเรซ (Torez)
[18] ต่อมาวันเดียวกันโพสต์ดังกล่าวถูกลบออก แล้วหลังจากนั้นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนปฏิเสธการยิงเครื่องบินใด ๆ
[19][20][21] ปลายเดือนกรกฎาคม 2557 มีการเผยแพร่การดักจับการสื่อสาร ซึ่งอ้างว่าได้ยินฝ่ายแบ่งแยกดินแดนกำลังถกกับเรื่องเครื่องบินที่ถูกยิงตก
[22][23][24] วิดีทัศน์จากจุดตกที่กบฏบันทึกเองและนิวส์คอร์พออสเตรเลียได้มา แสดงภาพทหารกบฏคนแรกไปถึงจุดตก ทีแรกพวกเขาสันนิษฐานว่าเครื่องบินที่ถูกยิงตกเป็นเครือ่งบินทหาร แต่ตกใจเมื่อรู้ว่าเป็นเครื่องบินโดยสารพลเรือน
[25]ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2557 ถึงพฤษภาคม 2559 กลุ่มสืบสวนในสหราชอาณาจักร เบลลิงแคตออกข้อสรุปหลายอย่าง โดยอาศัยการตรวจสอบภาพถ่ายในสื่อสังคมและสารสนเทศโอเพนซอร์ซอื่น เบลลิงแคตกล่าวว่าเครื่องปล่อยจรวดที่ใช้ยิงเครื่องบินเป็นบุค 332 ของกองพลน้อยจรวดต่อสู้อากาศยานที่ 53 ของรัสเซียซึ่งตั้งอยู่ใน
คูสค์ ประเทศรัสเซีย ซึ่งมีการขนย้ายจากโดเนตสก์ไป Snizhne และถูกฝ่ายแบ่งแยกดินแดนในยูเครนควบคุมวันเดียวกับเหตุดังกล่าว
[26][27][28][29][30]ในเดือนกรกฎาคม 2558 ประเทศมาเลเซียเสนอให้
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติตั้งคณะตุลาการระหว่างประเทศเพื่อดำเนินคดีกับผู้รับผิดชอบเหตุยิงเครื่องบินตก ข้อมติได้เสียงข้างมากในคณะมนตรีฯ แต่ประเทศรัสเซียใช้อำนาจยับยั้ง
[31][32]ความรับผิดชอบสำหรับการสอบสวนถูกมอบหมายให้กับคณะกรรมการความปลอดภัยดัตช์ (DSB) และทีมสอบสวนร่วม (JIT) โดยมีเนเธอร์แลนด์เป็นหัวหน้า ซึ่งสรุปว่าอากาศยานถูกขีปนาวุธพื้นสู่อากาศบัคที่ยิงจากดินแดนที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนนิยมรัสเซียในยูเครนยิง
[33][34] ตามข้อมูลของ JIT บัคคันดังกล่าวมาจากกองพลน้อยขีปนาวุธต่อสู้อากาศยานที่ 53 ของสหพันธรัฐรัสเซีย
[35][36] และมีการขนส่งจากประเทศรัสเซียในวันที่อากาศยานตก ยิงจากสนามในเขตควบคุมของกบฏแล้วกลับสู่ประเทศรัสเซียในภายหลัง
[17][37][35] จากข้อสรุปดังกล่าว รัฐบาลเนเธอร์แลนด์และออสเตรเลียถือว่ารัสเซียต้องรับผิดชอบต่อการวางกำลังบัคคันดังกล่าวและกำลังใช้ช่องทางกฎหมายในเดือนพฤษภาคม 2561
[38][39] รัฐบาลรัสเซียปฏิเสธส่วนรู้เห็นในการยิงเครื่องบินตก
[36][40][41][42] และคำบอกเล่าสาเหตุการตกนั้นเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
[43] การกล่าวถึงในสื่อรัสเซียก็แตกต่างจากในประเทศอื่น
[44][45] ทั้งนี้ รัสเซียถือว่ารัฐบาลยูเครนมีความผิดฐานอนุญาตให้เที่ยวบินพลเรือนบินในเขตสงคราม
[46]